บทเรียนชีวิตราคา 4,000 บาท

บทเรียนชีวิต (หรือใครจะเรียกค่าโง่ก็ได้ครับ) ราคา 4,000 บาท ขอจดเอาไว้เป็นที่ระลึก…
เหตุทั้งหมดเกิดจากความชะล่าใจ คิดว่าคน ต่างจังหวัดจะไม่หลอกลวง… และ ช่องโหว่รูโต ของกฏหมาย…
ผมกับภรรยาเปิดร้านขายปลีกเล็กๆ อยู่ที่ ต.กันตังใต้ อ.กันตัง จ.ตรัง ชื่อร้าน PK Shop เปิดมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว ร้านขายดีขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดจะเพิ่มตู้เหล็กสำหรับใส่ถังน้ำดื่ม (ลักษณะถังเหมือนใน MV ทุกอยาดเงื่อเพื่อเธอ ของ บ่าววี) นะครับ
ด้วยความที่เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ และเปิดร้านเลยไม่ค่อยจะรู้จักช่างเชื่อมในระแวกบ้านเลย บังเอิญไปเห็นบ้านถัดๆ ไปกำลังทำหลังคาเหล็กอยู่ (เจ้าของบ้านหลังนั้น คนระแวกนั้นเรียกชื่อแกว่า โกศักดิ์) ก็เลยไปสอบถามโกศักดิ์ เค้าก็แนะนำช่างให้มาคุยที่ร้านของผม
นายคนนี้ ชื่อ “นายพงศักดิ์ วันแรก” แต่ผมเรียก “นายเอก”
เราเริ่มคุยกันเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2556 โดยผมบอกให้เค้ากลับไปร่างแบบ และ ตีราคามาให้ผมในวันรุ่งขึ้น ซึ่งการพูดคุยก็เป็นไปอย่างดิบดี มีการอ้างถึงผลงานที่ผ่านมาว่าไปทำบ้านคนนู้น คนนี้ มา ผมก็ได้แต่ฟัง เพราะ ชื่อที่เอ่ยมาผมไม่รู้จักซักคน นายเอกอ้างว่าตอนนี้งานที่ทำอยู่ยังเบิกเงินไม่ได้ เลยจะพักไว้ซัก 2 – 3 วันก่อน เพื่อมาทำงานให้ผมจะได้มีเงินใช้

วันที่ 29 พ.ย. 2556

นายเอก มาที่ร้านพร้อมแบบวาดด้วยปากกา และตีราคาเหมามาเป็นเงิน 6,000 บาท ตามรูป

หลังจากเห็นแบบและรายการของที่จะซื้อสำหรับทำแล้ว ด้วยความว่าผมขี้เกียจวุ่นวายกับการซื้อของพวกนี้ เลยให้คิดเป็นราคาเหมาจ่าย โดยต่อรองราคาเหมาจ่ายกันที่ 5,500 บาท แบ่งเป็น ค่าของ 4,000 บาท และ ค่าแรง 1,500 บาท โดยให้นายเอกเอาเสาทีวีของผมที่ไม่ได้ใช้งานแล้วไป 2 เส้น โดยนายเอกขอเบิกค่าของไปก่อน 2,500 บาท โดยอ้างว่าจะเอาไปซื้อของมาทำ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วันในการทำงานให้เสร็จทั้งหมด
โดยสัญญาเป็นสัญญาแบบปากเปล่า แต่ทางผมก็ได้โน็ตเอาไว้เป็นหลักฐาน ตามรูป

โดยก่อนจะสัญญา เพื่อไม่ให้มีปัญหากับ ลุงศักดิ์ ว่าไปแย่งช่างแกมาทำงานก่อน ผมเลยถามย้ำไปอีกรอบว่า ว่างจริงๆ หรือไม่ นายเอกยังอ้างเหมือนเดิมว่าสามารถมาทำงานผมได้ก่อน เพราะ ใช้เวลาไม่นาน 2 – 3 วันก็เสร็จ เพราะ งานของลุงศักดิ์นายเอกยังเบิกเงินไม่ได้ เลยจะทำงานผมก่อนเพื่อจะได้มีเงินใช้
ผมเห็นว่าไม่น่ามีปัญหาเลยตกลงทำงานกัน พร้อมเงินสดที่นายเอกอ้างว่าจะนำไปซื้อของมาทำงาน
ผมได้ถามถึงเบอร์โทรฯ นายเอกอ้างว่าโทรศัพท์ของตนหายไป ผมเห็นว่ายังไงนายเอกก็ต้องมาทำงานที่บ้านลุงศักดิ์ และคงคิดว่าตามตัวได้ เลยไว้ใจ T T”

วันที่ 30 พ.ย. 2556

นายเอกมาที่ร้านพร้อมเอาเสารเหล็ก 2 เส้นตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ พร้อมเบิกเงินไปอีก 1,000 บาท โดยอ้างเช่นเดิมว่าจะนำไปซื้อของ

วันที่ 1 ธ.ค. 2556

นายเอก มาที่ร้านอีกครั้งพร้อมขอเบิกเงินไปอีก 500 บาท โดยอ้างเช่นเดิมว่า จะนำไปซื้อของ โดยบอกว่าอีก 2 – 3 วันจะนำของมาให้
สรุป ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2556 นายเอก เบิกเงินค่าซื้อของไปครบแล้ว 4,000 บาท

ผมใจเย็นรองานอยู่ประมาณ 7 วัน แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววของนายเอกจะนำของมาให้ผมที่ร้านเลย

7 ธ.ค. 2556

ผมและภรรยา ตัดสินใจไปตามงานที่บ้านโกศักดิ์ เพราะ คิดว่านายเอกจะมาทำงานแต่ไม่พบตัวนายเอก สอบถามได้ความว่านายเอกไม่ได้มาทำงานที่บ้านโกศักดิ์อย่างสม่ำเสมอ มาวันเว้นวัน หรือ หายไป 2 – 3 วัน จึงจะมาทำงาน ผมและภรรยาจึงตัดสินใจไปที่บ้านของนายเอก (สืบเองจนเจอ) แต่ไม่พบตัวนายเอก พบแต่แม่ยายของนายเอกจึงได้ฝากเรื่องเอาไว้
หลังจากนั้นผมและภรรยาก็ไปทำธุระกันต่อ เมื่อกลับไปที่ร้าน คุณแม่ของภรรยา (แม่ยายผมเองครับ) บอกว่าเมื่อครู่นายเอกมาหา และบอกว่างานใกล้เสร็จแล้ว รออีก 2 – 3 วันจะนำงานมาให้ที่ร้าน

10 ธ.ค. 2556

นายเอกยังเหมือนเดิมยังไม่นำงานมาส่ง ผมกับภรรยาไปตามงานที่บ้านนายเอกอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 คราวนี้เจอตัว นายเอกอ้างเหมือนเดิมว่ากำลังทำอยู่ตอนนี้เหลือส่วนประตูแล้วเท่านั้น (ผมเห็นเหล็กสองเส้นที่ให้ไปยังวางอยู่ที่เดิม) โดยสัญญาว่าจะส่งงานให้วัน พฤหัสฯ ที่  12 ธ.ค. ผมใจดี บอกไปว่าให้เวลาเต็มที่ ให้ถึงวัน ศุกร์ ที่ 13 ธ.ค. เลย พร้อมจับมือสัญญาลูกผู้ชายกัน (เสียมือมากๆ)

13 ธ.ค. 2556

นายเอกเข้ามาที่ร้าน พร้อมมาบอกว่าจะเอาของมาให้วันเสาร์ (14 ธ.ค. 2556) แทน โดยอ้างว่าสียังไม่แห้งดี

18 ธ.ค. 2556

นายเอกไม่ได้เอาของมาให้ตามสัญญา ผมและภรรยาเลยตัดสินใจตามไปที่บ้าน โดยในตอนแรกภรรยานายเอกอ้างว่านายเอกไม่อยู่ ไปทำงานแบบค้างคืนที่หลังศาลเจ้าแม่กวนอิม ในตำบล (แต่ผมสังเกตุเห็นว่ารถมอไซค์ของนายเอกยังจอดอยู่ที่หน้าบ้านและเหล็กของผมทั้งสองเส้นก็ยังอยู่ที่เดิม)


ผมและภรรยา ก็ไปที่ศาลเจ้าตามที่ภรรยานายเอกบอก แต่ไม่เจอไซด์ก่อสร้าง หรือ อะไรที่บ่งบอกว่ามีช่างมาทำงานเลย วันนั้นถอดใจแล้ว เลยตัดสินใจกลับบ้านกัน แต่ในระหว่างทางกลับ ผมเห็นนายเอกและภรรยา ขี่มอไซด์สวนมาพอดี เลยตัดสินใจลองสะกดรอยตาม จนนายเอกกลับมาที่บ้าน ผมและภรรยาเลยตัดสินใจไปเจอตัวนายเอกอีกครั้ง ครั้งนี้นายเอกมามุขเดิม คือกำลังทำอยู่ โดยอ้างว่าไปทำงานอีกบ้านนึง จึงให้นายเอกพาไปดูว่างานเสร็จถึงไหนแล้ว เมื่อนายเอกพาไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่าบ้านปิดประตู แล้วนายเอกก็ทำทีพูดว่าประตูปิดคงดูของไม่ได้ ผมโกรธมาก เลยตัดสินใจไปโรงพักพร้อมนายเอก เพื่อลงบันทึกประจำวันเอาไว้
ในบันทึกประจำวันระบุว่านายเอกจะต้องคืนเงินสดจำนวน 4,000 บาท ให้ผมภายในวันที่ 20 ธ.ค. 2556 โดยบอกว่าเย็นนี้จะได้รับเบิกเงินค่าทำงานที่ค้างอยู่ แล้วจะนำมาให้ผม
วันเดียวกัน นายเอกพร้อมภรรยาได้ไปเบิกเงินสดที่โกศักดิ์ (คนจ้างให้ทำงาน และแนะนำให้นายเอกมาหาผม) ไป 1,000 บาท ก่อน หลังจากผมสอบถามข้อมูลจากโกศักดิ์แล้ว โกศักดิ์เล่าว่าตอนมาทำงานอยู่ที่บ้านก็จะเบิกเงินกับแกไปครั้งละ 300 บ้าง 500 บ้าง ซึ่งไม่ตรงกับที่บอกผมไว้ตอนแรกว่า ไม่ได้รับเงินและขัดสน โดยหลังสรุปยอดแล้ว โกศักดิ์ ยังค้างจ่าย นายเอกอยู่ เพียง 2,600 บาท เท่านั้น และ นายเอกได้เบิกไปแล้ว 1,000 บาท ตอนนี้ยังเหลืออยู่ที่โกศักดิ์ 1,600 บาท ผมเลยตกลงกับโกศํกดิ์ ว่าถ้านายเอกจะมาเบิกเงินส่วนที่เหลืออีก 1,600 บาท ให้โทรหาผม ผมจะหัก ณ ที่จ่ายตรงนั้นเลยจะได้หรือไม่ โกศํกดิ์ ก็ตกลงตามนั้น

19 ธ.ค. 2556

นายเอกมาขอเบิกเงินส่วนที่เหลือที่โกศักดิ์ โกศักดิ์ เลยโทรตามผมมาเจรจา เมื่อมาถึง ก็เจอกับ น้าราตรี (ภรรยาโกศักดิ์) แทน นายเอกไม่ยินยอมให้ผมหัก ณ ที่จ่ายตรงนั้นเลย พร้อมเจรจาต่อรองสารพัด ถึงตอนนี้ถ้าผมเชื่อคนปลิ้นปล้อนแบบนายเอกอีกผมก็โง่เต็มที่แล้ว แต่ตามกำหนดให้เวลานายเอกถึงวันที่ 20 ธ.ค. ผมเลยทำได้แค่ย้ำนายเอกว่าพรุ่งนี้ (20 ธ.ค.) ต้องมาจ่ายผม พร้อมเดินระงับสติอารมณ์ออกมา
ช่วงบ่ายด้วยความสงสัยและลองทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผมและภรรยาลงทุนปิดร้านช่วงบ่ายและลองขับรถไปที่ บ้านที่นายเอกอ้างว่านำงานไปทำอีกครั้ง ไปรอบแรกบ้านยังปิดอยู่เหมือนเดิม จึงสอบถามชาวบ้านระแวกนั้น ได้ความว่าเจ้าของบ้านออกไปทำงานและจะกลับมาในช่วงเย็น แต่ก็ได้ถ่ายรูปบ้านเอาไว้เป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน


จะเห็นว่าระแวกบ้านไม่มีลักษณะใดๆ ในการที่จะทำงานได้เลย ช่วงเย็นผมและภรรยาลองกลับไปอีกครั้ง ครั้งนี้ได้เจอกับเจ้าของบ้าน และได้สอบถาม (บันทึกเสียงไว้) สิ่งที่ได้ฟังทำให้ผมเจ็บใจมากๆ เพราะ เจ้าของบ้านบอกว่าไม่รู้จักกับนายเอกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในซอยมีโรงกลึงเหล็กอยู่ ลุงเจ้าของบ้านจึงพาเดินไป ก็พบว่าร้านปิดอีก แต่ผมได้ถ่ายป้ายเบอร์โทรร้านเอาไว้ หลังจากนั้นผมก็พยายามโทรฯ หาเบอร์ที่บอกเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

20 ธ.ค. 2556

เป็นไปตามคาด นายเอก ไม่โผล่มาให้เห็น

21 ธ.ค. 2556

ตอนนี้ผมชัดมากแล้วว่าโดนนายเอกหลอกแน่ๆ ผมลองไปที่ศาลเจ้าแม่กวนอิม ที่ภรรยานายเอกอ้างเอาไว้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. อีกครั้ง โดยครั้งนี้ทำทีว่าเป็นคนจากที่อื่นไปสอบถาม ร่างทรงที่ตั้งสำนักอยู่ด้านข้างศาล ถึงเรื่องมีการซ่อมแซมหลังคา ศาลเจ้า หรือ มีการซ่อมแซมอะไรอีกบ้าง (บันทึกเสียงเอาไว้) ก็ได้ความว่า ตรงศาลเจ้าไม่มีการซ่อมแซมใดๆ มาประมาณปีกว่าแล้ว มีแต่อาศรมร่างทรงเท่านั้นที่เพิ่งทำหลังคาใหม่ ผมเลยถามย้ำอีกครั้งว่าทำเมื่อไหร่ ทางลูกศิษย์คนนึงบอกว่า ทำวันเดียวเสร็จ โดยทำกัน วันอาทิตย์ (น่าจะเป็น วันที่ 15 ธ.ค.) ซึ่งไม่ตรงกับที่ภรรยานายเอกบอกเอาไว้ว่า ทำวัน พุธ ที่ 18 ธ.ค. โดยผมถามเกี่ยวกับช่างที่มาทำ ลูกศิษย์คนดังกล่าวบอกว่า ก็บรรดาเหล่าศิษย์ (เด็กศาล) มาช่วยๆ กันทำ ซึ่งจากการสืบก็พอรู้ว่า นายเอก และ ภรรยา นายเอกน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกทรงเจ้าพวกนี้อยู่บ้าง ผมเกรงว่าถามมากกว่านี้จะเป็นอันตราย เพราะ เดาว่าพวกนี้น่าจะรู้จักกันจริงๆ (อาจจะรวมถึงบ้านที่นายเอกพาผมได้ด้วยก็ได้) เลยตัดสินใจออกมาก่อน

23 ธ.ค. 2556

ผมและภรรยาไปที่โรงพักอีกครั้ง เพื่อจะพบกับร้อยเวรที่รับเรื่องและลงบันทึกประจำวันเอาไว้ พยายามโทรหาร้อยเวรที่รับเรื่องด้วยมือถือผมเอง แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย ก็นั่งรอกันที่หน้าห้องสอบสวนอยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตำรวจนายอื่นก็เลยเดินมาถามว่าติดต่ออะไรเลยเล่าให้ฟัง นายตำรวจท่านนั้นเลยลองโทรตามให้อีกครั้ง ผลคือ “รับสาย และ บอกว่าใกล้ถึงแล้ว” (ขณะนั้นเวลาใกล้จะ 10 โมงแล้ว) – -”
เซอร์ไพรส์แรกที่ได้เจอ คือ ร้อยเวรคนดังกล่าว เป็นคนละคนที่ทำการลงบันทึกประจำวันให้ผม!??? ต่อไปจะเรียกว่า “ร้อยเวรคนหล่อ” เพราะแกหน้าตาหล่อกว่าร้อยเวรที่รับเรื่องผมไว้เยอะ แกก็งงๆ ว่าไปรับเรื่องผมไว้ตอนไหน ผมก็เลยเอา copy บันทึกประจำวันให้ดู เมื่อดูลายเซ็นในบันทึกประจำวันตรงกับลายเซ็นต์ของร้อยเวรท่านนี้ ร้อยเวรคนหล่อก็ไม่พูดอะไรต่อ เลยให้ผมเล่าเรื่องให้ฟังใหม่
ไม่เป็นไร ผมค่อยๆ เล่าเรื่องราวให้ร้อยเวรท่านนี้ฟังอีกครั้ง หลังจากนั้นร้อยเวรคนหล่อ ก็วิทยุติดต่อให้สายตรวจไปตามตัวนายเอกมาที่โรงพัก ผมรอซักพักร้อยเวรคนหล่อก็บอกว่าให้ผมกลับไปก่อนเดี๋ยวตามตัวนายเอกมาได้แล้วจะโทรหาผม
ผมรอจนกระทั่ง 4 โมงเย็น ก็ไม่มีการติดต่อกลับมา ผมเลยลองโทรไปที่เบอร์ฯ ร้อยเวรคนหล่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่รับสายเหมือนเดิม ผมเลยไปที่โรงพักอีกครั้ง โดยลองแวะไปดูหน้าบ้านเช่าที่นายเอกอยู่ ผมไม่เห็นรถมอร์ไซต์นายเอก แต่ผมเห็น “บ้านล็อคจากข้างใน (ไม่เห็นกุญแจล็อคภายนอก) และ หน้าต่างหน้าบ้านเปิดอยู่” ผมไม่ได้เข้าไปเคาะ เพราะ อยากรู้ว่า ร้อยเวรคนหล่อจะว่าอย่างไร ผมเลยรีบตรงไปโรงพัก
ร้อยเวรคนหล่อแจ้งว่า สายตรวจได้ไปตามที่อยู่ที่ผมให้ไว้แล้วแต่ข้างบ้านบอกว่านายเอกทำธุระหาดใหญ่ 3 – 4 วัน ถึงจะกลับ ผมเลยขอคำปรึกษาจากร้อยเวรคนหล่อว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง
ผมแจกแจงลำดับเหตุการณ์ใหม่ และ แสดงหลักฐานต่างๆ ให้ร้อยเวรคนหล่อดูอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะสนใจซักเท่าไหร่ ผมบอกว่าถ้าอยากฟังไฟล์เสียงที่ผมบันทึกเอาไว้ ก็จะเปิดให้ฟัง แต่ร้อยเวรคนหล่อ ก็ปฏิเสธ พร้อมบอกว่าจะลองไปปรึกษา “ลูกพี่” ดู
ซักครู่ “ลูกพี่” และ ร้อยเวรคนหล่อ ก็เดินมาหาผมพร้อมอธิบายว่า…
กรณีของผมเป็นการ “ว่าจ้างทำของ” ซึ่งถ้าจะเอาผิดจะต้องไปตั้งทนายฟ้องร้องเป็น “คดีแพ่ง” เท่านั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้
โดย คำว่า “ฉ้อโกง” ที่ผมพยายามพูดอยู่เป็น “ฉ้อโกงในความรู้สึก” ไม่ใช่ “ฉ้อโกงทางกฎหมาย” ไม่สามารถเป็น “คดีอาญา” ได้ เพราะ ถ้าจะเป็น “คดีฉ้อโกง” จะต้องดูที่ “เจตนาแต่แรก”
มาถึงตรงนี้ผมงงไปหมดครับ หัวผมหมุนติ๊วๆๆ เลย สิ่งที่เราพยายามรวบรวมหลักฐานมามันอธิบายเจตนาของนายเอกไม่ได้เลยหรืออย่างไร?
ลูกพี่ อธิบายต่อว่า ถ้านายเอก ไม่ใช่ช่างจริงๆ แต่มาแอบอ้างว่าเป็นช่างและมาหลอกให้ผมว่าจ้าง อันนี้ถึงจะเข้าข่ายฉ้อโกง ได้ซึ่งก็ต้องไปหาหลักฐานมาพิสูจน์กันอีก
ผมถามเพิ่มเรื่อง “เจตนาแต่แรก” ว่า ถ้าถึงแม้นว่านายเอกเป็นช่างจริง แต่เห็นว่ากฏหมายมีช่องโหว่ เห็นว่าเงินน้อยถ้าจะเชิดเงินผม ผมคงไม่ติดตามอะไร เลยมาเสนอตัวทำงาน แล้วขอเบิกเงินโดยอ้างว่าเป็นค่าวัสดุ แต่ไม่คิดจะทำให้จริง ซึ่งนายเอกอาจจะทำอย่างเดียวกันนี้กับคนอื่นอีก เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครมาร้องทุกข์แบบผม อันนี้ถือว่ามีเจตนาแต่ต้นได้หรือไม่
ลูกพี่ ก็อธิบายต่อไปอีกว่า “ยังไงก็คือการ จ้างทำของ” ซึ่งเป็นสัญญาที่จะเกิดของ “ในอนาคต” เรายังไม่รู้ว่านายเอกซื้อของแล้วหรือยัง หรือ เริ่มทำไปแล้วหรือยัง
ผมถามกลับไปว่า ถ้าผมหาหลักฐานมาได้ว่า “ผมไม่ใช่คนแรก” แต่ถ้ามีหลักฐานว่า นายเอกมีพฤติกรรมแบบนี้กับอีกหลายคน แต่ คนเหล่านั้นไม่แสดงตนแบบผม อาจเพราะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หรือ เห็นว่าเงินเล็กน้อยถือว่าฟาดเคราะห์ หรือ อะไรก็ตาม ผมสามารถนำหลักฐานตรงนี้มาเสริมได้หรือไม่?
ลูกพี่ ยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่า “ไม่ได้” เพราะ “แต่ละเหตุ” มันคนละ “กรรม” กัน
งง ไหมละครับ???
ไม่เป็นไร… ผมเลยถามไปอีกว่า ตอนนี้ปัญหาเดียวที่ผมติดอยู่และอยากรู้คือ “นายเอกเริ่มทำงานแล้วหรือยัง?” ถ้าจะรบกวนให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยติดตามตัวนายเอกมาเพื่อที่ผมจะให้นายเอกพาไปดูของที่นายเอกอ้างว่าได้เริ่มทำไปแล้วแต่ยังไม่เสร็จซักกะที หรือ ถ้าดูของไม่ได้ก็ให้แสดงใบเสร็จที่อ้างว่าซื้อของแล้ว หรือ แจ้งร้านวัสดุที่นายเอกไปซื้อของตามอ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นพยาน แล้วขั้นตอนต่อไปผมจะสืบหาหลักฐานเอง ผมสามารถทำได้หรือไม่?
ลูกพี่ ตอบว่า “มันเป็นทางแพ่ง เรื่อง จ้างทำของ” เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจในการบังคับตัวนายเอกมาได้ ทำได้เพียงไปหาเชิญตัว ถ้านายเอกจะไม่มา เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับนำตัวมาได้เช่นกัน
ดังนั้น สรุปคือ สิ่งที่ผมจะทำได้ก็คือ ต้องตามตัวนายเอกมาที่โรงพักเองโดยนายเอกยินยอมโดยดี และ ส่วนการทำการบันทึกประจำวันก็ไม่สามารถบังคับให้นายเอกจ่ายเงินคืนผมได้ เป็นได้เพียงแค่เอกสารบันทึกเอาไว้ เหมือน log บน server…
ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจเจ้าหน้าที่นะครับ
ถึงตรงนี้ผมหมดคำถามและอารมณ์ที่จะพูดคุยต่อแล้วครับ หลักฐานที่เตรียมมาก็แทบไม่ได้มีผลอะไรเลย (แค่เปิดพลิกๆ ดูเท่านั้น) ก่อนลา ร้อยเวรคนหล่อบอกกับผมว่า “ให้ทำใจเอาไว้บ้าง” ผมก็ทำได้แค่ยิ้ม
ก่อนกลับบ้านซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ผมลองแว๊บผ่านหน้าบ้านนายเอกอีกครั้ง ไม่พบรถมอร์ไซต์เหมือนเดิม แต่ไฟในบ้านเปิดอยู่ ผมไม่แวะเข้าไป ในใจตอนนี้คิดว่า “ถึงเจอตัวก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี” เลยตรงกลับบ้านเลย
ณ วันนี้ผมทำใจได้แล้ว เงิน 4,000 บาท ของผมคงไม่ได้คืนแน่นอนแล้ว และ ถ้าต้องฟ้องแพ่ง มันก็ไม่คุ้มกับเงินและเวลาที่จะต้องเสียไป
ผมและภรรยาเลยต้องตั้งกฏให้กับครอบครัวของเรา ดังนี้
  1. เราต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้นอกจากตัวเราเอง
  2. เราจะไม่ไว้ใจใครที่ไม่ใช่คนที่เรานับว่าเป็นญาติสนิทอีกต่อไป
  3. การจ้างช่างต้องเป็นช่างที่มีหน้าร้านชัดเจน สามารถตามตัวได้ แพงหน่อยก็ยอม
  4. ต่อไปจะทำอะไรต้องมีเอกสารทั้งหมด โดยสัญญาต้องรัดกุมที่สุด กำหนดวันเสร็จชัดเจน ทุกอย่างต้องมีลายเซ็นของทั้งสองฝ่าย
  5. ถ้ามีการจ้างให้ทำของแบบนี้อีก เราจะต้องเป็นคนซื้อวัสดุเอง ช่างมีหน้าที่ทำงานเท่านั้น โดยในสัญญาต้องระบุชัดว่างานกี่ % ถึงจะเบิกเงินได้เท่าไร
  6. ถ้ากฏหมายทำอะไรไม่ได้ “เราจะใช้กฏหมา” แทน

สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น