วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

อ่าน : ล่าขุมทองสเลทบ็อก (SLATHBOG’S GOLD)

สองสามวันที่ผ่านมาผมได้หลุดเข้าไปในดินแดนแฟนตาซีแห่งนึงมาครับ ดินแดนที่เต็มไปด้วยนักผจญภัย เวทมนต์ ไอเทมเวทมนต์ เอลล์ คนแคระ (Dwarf) ยักษ์โทรลล์ (Troll) มังกรแดงผู้ชั่วร้าย


นิยายแฟนตาซีชื่อเต็มๆ ว่า “ADVENTURERS WANTED SLATHBOG’S GOLD” หรือ ชื่อไทยว่า “ล่าขุมทองสเลทบ็อก” ผลงานปฐมบทของนิยายแฟนตาซีชุด ADVENTURERS WANTED ของนักเขียนชื่อ M.L FORMAN โดยฉบับที่ผมอ่านเป็นงานแปลของ “พร่างดาว นุประดิษฐ์”
เรื่องราวของ อเล็กซ์ (Alex) เด็กหนุ่มที่ต้องการเปลี่ยนชีิวิตตนเองที่ได้บังเอิญเดินเข้าไปในร้านหนังสือของ มิสเตอร์คลัสเตอร์ และได้กลายเป็นคนที่ 8 ของกลุ่มนักผจญภัยที่ออกค้นหาสมบัติในตำนานของมังกรแดงผู้ชั่วร้ายนามสเลทบ็อก ระหว่างการเดินทางอเล็กซ์และผ่องเพื่อนต้องพบกับอันตรายต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นยักษ์โทรลล์ผู้หิวโหย โจรป่า เงามืดแห่งความตาย ฯลฯ
การเดินทางในครั้งนี้ของอเล็กซ์ได้นำพาเด็กหนุ่มไปพบกับดินแดนอันห่างไกลต่างๆ ได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ เกียรติ และ มิตรภาพ

ความคิดเห็นส่วนตัว :

เป็นนิยายแฟนตาซีที่อ่านได้สนุกมากเล่มนึง การเล่าเรื่องการผจญภัยลื่นไหลต่อเนื่องดี แม้ว่าโดยส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องจะราบเรียบและเป็นเส้นตรงไปหน่อย แถมตัวละครหลักในกลุ่มมีถึง 8 คน แต่จะเห็นบทเด่นอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นและแน่นอนพระเอกของเราดูฉลาดและเก่งที่สุดในตอนท้าย (แม้ว่าจะเป็นเด็กใหม่ก็ตาม)
หากคุณชอบนิยายแฟนตาซี ชอบเล่นเกม RPG ชอบมังกร ผมแนะนำให้หาเล่มนี้มาอ่านครับ
ปล. ผมแทบรอไม่ไหวอยากอ่านเล่มที่เหลือ The Horn of Moran และ Albrek’s Tomb แล้วครับ วอนสำนักพิมพ์นกฮูก ด้วยนะครับ ;)

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยว : หลีเป๊ะ 5 – 7 มี.ค. 2556

เมื่อต้นเดือนได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะครับ ฉลองครบรอบแต่งงานกับคุณภรรยา 1 ปีพอดีเป๊ะๆ ด้วย ^.^v


การเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะนั้นง่ายดายและสะดวกสบายมากโดยส่ิงที่ต้องนำพาติดตัวด้วยก็คือ “เงิน” และ “โชค” เรื่องเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเกาะครับ ซื้อตัวได้ที่ท่าเรือปากบารา จะมีบริษัทจัดการเรื่องนี้อยู่เยอะเลยครับ โดยตอนซื้อจะซื้อไปแบบไปกลับเลย ค่าตั๋ว 900 บาทต่อคน ราคาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรือเฟอร์รี่ หรือ เรือสปีดโบ๊ท ส่วนใครขับรถกันมาเองก็มีบริการฝากรถเอาไว้คิดคืนละ 100 บาท ถือได้ว่าโหดทีเดียวสำหรับสภาพที่จอดรถที่ไม่ค่อยจะกันแดดกันฝนให้กับรถของเราซักเท่าไหร่ แต่ก็เพื่อความอุ่นใจระดับหนึ่งก็ฝากเถอะครับ ส่วนที่บอกว่าต้องพา “โชค”​ ไปด้วยก็คือ ก่อนจะถึงเกาะหลีเป๊ะ เรือจะมีการแวะ อุทยานแห่งชาติตะรุเตาก่อน แต่สำหรับทริปนี้เกิดคลื่นลมแรงซะงั้นเรือเลยจอดไม่ได้ (คนเรืออ้างมานะ ไม่รู้เพราะเค้าขี้เกียจหรือป่าว)


ใช้เวลาหลับๆ ตื่นๆ อยู่บนเรือสปีดโบ๊ทอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเกาะหลีเป๊ะ แต่เรือจะไม่จอดที่ชายหาดเลย เรือจะจอดที่โป๊ะ หน้า Pataya Beach เพื่อรอถ่ายนักท่องเที่ยวลงเรือเล็ก (เรือหางยาว) เพื่อเข้าเกาะอีกทีนึง ค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าหาดอีกคนละ 50 บาท – -”


กว่าจะถึงเกาะก็มีดราม่าเกิดขึ้นเล็กน้อย เหตุเพราะ คนเรืออ้างว่าหาด Sunrise Beach ที่เราจะไปคลื่นลมแรง ไม่สามารถเอาเรือไปได้ หากดูแผนที่ประกอบแล้วนั้น (ลิงค์แผนที่) จะเห็นว่าต้องอ้อมเกาะกันเลยทีเดียว พี่คนขับก็เลยจอดที่หน้าหาด Pataya มันนี้แหละ แล้วก็ปล่อยให้เราลงบอกแค่ว่าโทหารีสอร์ทแล้วเค้าจะเอารถมารับเอง (- -”
ก็กดโทรศัพท์หาทาง เม้าเทิร์น รีสอร์ท พี่ในสายรีบบอกมาเลยว่า “น้องขึ้นเรือชื่ออะไร ให้ขึ้นลำนั้นกลับมาโป๊ะเลยครับ เดี๋ยวพี่เอาเรือไปส่งเอง” พร้อมกับบ่นๆๆๆ มาในสายนิดหน่อย จับใจความได้ว่า พวกคนเรือท้องถิ่นไม่ค่อยไปส่งผู้โดยสารฝั่ง Sunrise Beach ซักเท่าไหร่เพราะไกล ไม่คุ้ม หลังจากวางสายพี่เค้าไปก็ต้องรีบวิ้งตะโกนเรียกพี่คนขับเรือให้ มารับและไปส่งที่โป๊ะ อีกรอบ
ยังๆๆ พอไปถึงโป๊ะ ก็มีเรือของรีสอร์ทจอดรออยู่แล้ว ในใจคิดหนนี้นั้งเรือถึงที่พักแน่แท้ แต่… เรือไปจอดลงที่หาดเมื้อตะกี้แหละครับ แค่ห่างออกไปจากจุดเดิมอีกประมาณ 200 เมตร เห็นจะได้ นี้ตูนั้งเรือสองรอบเพื่อ? – -” เสร็จแล้วก็ขึ้นท้ายกะบะ ตุเรงๆ กันไปถึงรีสอร์ทจนได้ เฮ้อ…..
แต่ถึงแล้วก็หายเหนื่อยครับ หาดสวยมากและเป็นส่วนตัวมากกว่าทางฝั่ง Pataya Beach มากเลยครับ



ช่วงบ่ายก็ใช้เวลาเล่นน้ำเดินเล่นกัน ตกเย็นก็เตรียมตัวไปเดินตลาดคนเดินของ หลีเป๊ะ กันครับ ของกินอาหารทะเลมีหลายร้านมากสดๆ ทั้งนั้น แต่ราคาแอบแพงไปหน่อย แต่โดยรวมอาหารอร่อยครับ หมึกสด กุ้งตัวโต ปลาเนื้อหวานๆ ร้านที่ไปนั้งทานกันชื่อร้าน “ไร่เล”​ ครับ (ถ้าจำชื่อร้านผิดต้องขออภัยทางเจ้าของร้านด้วย)
เราใช้เวลาอยู่บนเกาะอยู่สองวันครับ วันที่สองนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเหมาเรือกันไป เกาะใกล้เคียง เช่น เกาะหินสวย อันลือเลื่อง แต่สำหรับเรา แค่อยู่บนเกาะ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็คิดว่าพอแล้วครับ วันที่สองเลยกลายเป็นการตะลอนเดินเล่น (กึ่งๆ เอาจริง) บนเกาะครับ เดินข้ามฟากไปกินอาหารเที่ยงที่ “บันดาหยา รีสอร์ท” เพราะคุณภรรยาอ่านมาจากเน็ตบอกพาสต้าอร่อย – -” บ่ายกลับมาเล่นน้ำหน้ารีสอร์ท เย็นก็ไปถนนคนเดิน สบายๆๆๆๆ แทบไม่อยากกลับบ้านกันเลย ถ้าไม่ห่วงสุขภาพเงินในกระเป๋า